แบรนด์และผู้ขายยังต้องเผชิญกับสิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ค่าธรรมเนียมในการขายสินค้า”สำหรับแบรนด์ Corporate ที่วางแผนใช้ Shopee เป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายสินค้า การเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียมให้ชัดเจนคือกุญแจสำคัญ

Shopee กลายเป็นแพลตฟอร์ม E-commerce อันดับต้น ๆ ของไทยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ขายต่างให้ความสนใจ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานที่มหาศาล ระบบจัดการคำสั่งซื้อที่ทันสมัย และความสะดวกในการเข้าถึงจากทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนมือถือ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสะดวกและโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น แบรนด์และผู้ขายยังต้องเผชิญกับสิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ค่าธรรมเนียมในการขายสินค้า”
สำหรับแบรนด์ Corporate ที่วางแผนใช้ Shopee เป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายสินค้า การเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียมให้ชัดเจนคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้วางกลยุทธ์ด้านราคา ต้นทุน และกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคำว่า “ขายของผ่าน Shopee ค่าธรรมเนียม” ไม่ได้หมายถึงแค่ค่าคอมมิชชันเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงค่าบริการแฝง ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และภาระผูกพันจากแคมเปญต่าง ๆ ที่อาจกระทบกับกำไรสุทธิของแบรนด์
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงค่าธรรมเนียมที่แบรนด์ควรรู้ก่อนตัดสินใจขายของผ่าน Shopee พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อควรระวัง และแนวทางการวางแผนให้แบรนด์สามารถใช้ Shopee ได้อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

Shopee คืออะไร และเหมาะกับใคร

Shopee คือแพลตฟอร์ม Marketplace ที่เปิดโอกาสให้ทั้งผู้ค้ารายย่อยและแบรนด์ขนาดใหญ่สามารถขายสินค้าบนโลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ของตนเอง ด้วยอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย การเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินและขนส่งอย่างครบวงจร รวมถึงฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ทั่วประเทศ Shopee จึงกลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้ขายที่ต้องการขยายตลาดในยุคดิจิทัล
สิ่งที่ทำให้ Shopee แตกต่างจากช่องทางออนไลน์อื่นคือ การเปิดให้ร้านค้าทุกประเภทเข้ามาแข่งขันในสนามเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า SME ร้านค้ารายย่อย ไปจนถึงแบรนด์ระดับองค์กรที่มีชื่อเสียง ซึ่งในกรณีของแบรนด์ Corporate Shopee มีระบบที่เรียกว่า Shopee Mall ซึ่งรองรับเฉพาะแบรนด์ทางการ โดยมีการตรวจสอบเอกสารการจดทะเบียนการค้า เครื่องหมายการค้า และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ก่อนขึ้นร้านบนแพลตฟอร์ม
การเป็นร้านค้า Shopee Mall ไม่เพียงแต่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าของแท้จากเจ้าของแบรนด์โดยตรง แต่ยังมาพร้อมสิทธิพิเศษด้านการตลาด เช่น ตำแหน่งแสดงผลที่เด่นกว่า การเข้าร่วมโปรโมชันขนาดใหญ่ และระบบวิเคราะห์ข้อมูลภายในที่ลึกกว่า อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์เหล่านี้ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขและ “ค่าธรรมเนียม” ที่แบรนด์ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
กล่าวได้ว่า Shopee เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการขยายการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มแมส โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องการสร้างยอดขายระยะสั้น หรือใช้เป็นช่องทางรองจาก Brand.com ของตนเอง แต่การลงสนามบน Shopee โดยไม่รู้เรื่องค่าธรรมเนียมให้ชัดเจนอาจกลายเป็นกับดักทางต้นทุนที่บั่นทอนกำไรของแบรนด์อย่างไม่รู้ตัว

ขายของผ่าน Shopee ค่าธรรมเนียมมีอะไรบ้าง

หนึ่งในปัจจัยที่แบรนด์มักมองข้ามเมื่อตัดสินใจขายของบน Shopee คือค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บจากทุกคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นจริง หลายแบรนด์อาจเข้าใจเพียงผิวเผินว่ามีแค่ “ค่าคอมมิชชัน” แต่ในความเป็นจริง Shopee มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่หลากหลาย และอาจส่งผลต่ออัตรากำไรโดยตรง หากไม่วางแผนล่วงหน้า
ค่าธรรมเนียมหลักที่แบรนด์ควรรู้จักมี 3 ประเภท ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการขาย (Commission Fee), ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Transaction Fee), และค่าธรรมเนียมบริการ (Service Fee) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของร้าน Shopee Mall ซึ่งมักเป็นร้านค้าของแบรนด์ Corporate ค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจสูงกว่าร้านค้าทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
1. ค่าธรรมเนียมการขาย (Commission Fee)
เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าสำเร็จ Shopee จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขายในอัตราร้อยละของราคาสินค้าหลังหักส่วนลดที่ร้านค้ากำหนดเอง โดยอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับร้าน Shopee Mall จะอยู่ที่ประมาณ 5% ถึง 11% แล้วแต่หมวดหมู่ของสินค้า และยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งเมื่อนำมาคิดรวม อัตราที่แท้จริงอาจอยู่ในช่วง 5.35% ถึง 11.77% ต่อคำสั่งซื้อ
ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์ขายกระเป๋าราคาชิ้นละ 1,000 บาท และสินค้านั้นอยู่ในหมวดที่ถูกคิดค่าคอมมิชชัน 9% เมื่อรวม VAT แล้ว จะถูกหักออกประมาณ 96.3 บาทต่อคำสั่งซื้อทันที
2. ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Transaction Fee)
ไม่ว่าลูกค้าจะชำระเงินผ่านบัตรเครดิต พร้อมเพย์ หรือช่องทางอื่น ๆ Shopee จะหักค่าธรรมเนียมธุรกรรมในอัตราคงที่ที่ 3.21% ของยอดรวมคำสั่งซื้อ (รวมค่าสินค้าและค่าขนส่ง) โดยคิดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ซึ่งค่าธรรมเนียมส่วนนี้มีผลกับร้านค้าทุกประเภทไม่เว้นแม้แต่ Shopee Mall
ในกรณีที่ลูกค้าเลือกผ่อนชำระผ่าน SPayLater หรือบริการผ่อนจ่ายอื่น ๆ อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเฉพาะทาง ที่แบรนด์ควรศึกษาเงื่อนไขให้ถี่ถ้วน
3. ค่าธรรมเนียมบริการ (Service Fee)
เมื่อแบรนด์เข้าร่วมแคมเปญพิเศษ เช่น ฟรีค่าส่ง หรือโปรโมชัน Super Brand Day Shopee จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบริการเพิ่มเติมในอัตราเฉลี่ย 5% ถึง 7% แล้วแต่ประเภทโปรแกรม และหมวดหมู่ของสินค้า โดยค่าธรรมเนียมนี้คิดจากราคาสินค้าหลังหักส่วนลดที่แบรนด์มอบให้เอง
ค่าธรรมเนียมบริการเป็นส่วนที่หลายแบรนด์อาจมองว่าเป็นการลงทุนในการเข้าถึงผู้ซื้อในช่วงแคมเปญ แต่หากไม่ได้คำนวณต้นทุนให้รอบด้าน ก็อาจกระทบต่อกำไรต่อคำสั่งซื้อได้เช่นกัน
ขายของผ่าน Shopee ค่าธรรมเนียม เหล่านี้เมื่อรวมกันแล้ว อาจทำให้แบรนด์ต้องเสียค่าธรรมเนียมเฉลี่ยตั้งแต่ 8% ถึงมากกว่า 15% ต่อออเดอร์ ทั้งนี้ยังไม่รวมค่าโฆษณา Shopee Ads หรือค่าของแถมที่แบรนด์จัดเองในแคมเปญ ส่งผลให้การตั้งราคาสินค้าแบบไม่วางแผน อาจทำให้แบรนด์ขาดทุนโดยไม่รู้ตัว

ข้อดีและข้อควรพิจารณาในการขายของผ่าน Shopee

แม้ว่า ขายของผ่าน Shopee ค่าธรรมเนียมจะเป็นต้นทุนที่แบรนด์ต้องแบกรับ แต่แพลตฟอร์มนี้ก็มีข้อได้เปรียบหลายด้านที่อาจคุ้มค่าสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการสร้างช่องทางขายใหม่จากศูนย์ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาทั้งด้านบวกและข้อจำกัดอย่างรอบคอบคือหัวใจของการวางกลยุทธ์ที่ยั่งยืน

  • ข้อดีของการขายผ่าน Shopee สำหรับแบรนด์ Corporate

Shopee มีฐานผู้ใช้งานที่ใหญ่และเติบโตต่อเนื่อง ผู้บริโภคหลายล้านคนเข้ามาค้นหาสินค้าทุกวัน ทำให้แบรนด์มีโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่โดยไม่ต้องทุ่มงบโปรโมตตั้งแต่เริ่มต้น ระบบของ Shopee ยังครอบคลุมทุกกระบวนการ ทั้งระบบชำระเงิน การจัดส่ง ไปจนถึงระบบรีวิวสินค้า ทำให้ผู้ขายไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารหลังบ้านมากนัก
สำหรับแบรนด์ Corporate ที่เข้าร่วม Shopee Mall ยังได้รับตราสัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า แบรนด์สามารถใช้โอกาสนี้สร้างความจดจำ และทดลองสินค้าใหม่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยมีข้อมูลและฟีเจอร์ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพการขายได้อย่างเป็นระบบ

  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงขายบน Shopee

แม้ข้อดีจะน่าสนใจ แต่ค่าธรรมเนียมคือปัจจัยหลักที่อาจกินเข้าไปในอัตรากำไรของแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ หากไม่วางแผนราคาสินค้าให้รองรับค่าคอมมิชชัน ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และค่าแคมเปญเพิ่มเติม ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอาจไม่สามารถแปลเป็นกำไรที่ยั่งยืนได้
นอกจากนี้ Shopee เป็นแพลตฟอร์มเปิดที่มีคู่แข่งจำนวนมาก แบรนด์จึงต้องเผชิญกับสงครามราคา และความเสี่ยงที่ภาพลักษณ์จะถูกลดคุณค่าโดยสินค้าราคาถูกจากผู้ขายรายอื่น และแม้จะมียอดขายดี แบรนด์จะไม่ได้ข้อมูลลูกค้าเชิงลึก เช่น เบอร์โทร อีเมล หรือพฤติกรรมการซื้ออย่างละเอียด ซึ่งจำเป็นต่อการทำ CRM และ Loyalty Program ระยะยาว และที่สำคัญ แบรนด์ยังต้องปฏิบัติตามกฎของแพลตฟอร์มอย่างเคร่งครัด Shopee สามารถปรับอัตราค่าธรรมเนียม shopee เปลี่ยนนโยบาย หรือปรับลดการมองเห็นสินค้าได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า ทำให้แบรนด์ควรใช้ Shopee เป็นเพียง “หนึ่งในช่องทาง” ไม่ใช่ “ช่องทางหลัก” หากต้องการสร้างความมั่นคงระยะยาว

คำแนะนำสำหรับแบรนด์ที่เริ่มต้นขายของผ่าน Shopee

การเข้าสู่ตลาด Shopee สำหรับแบรนด์ Corporate ไม่ใช่แค่การ “เปิดร้าน” แล้วรอยอดขาย แต่ต้องเป็นการวางกลยุทธ์ทั้งในด้านต้นทุน กำไร และภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ขายของผ่าน Shopee ค่าธรรมเนียมกลายเป็นปัจจัยที่กระทบต่อกำไรโดยตรง การเริ่มต้นด้วยแนวทางที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
อันดับแรก แบรนด์ควรคำนวณต้นทุนแบบครบทุกมิติ ไม่ใช่แค่ต้นทุนสินค้า แต่ต้องรวมค่าธรรมเนียมทั้งหมด เช่น ค่าคอมมิชชัน ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และค่าบริการจากโปรโมชัน ซึ่งอาจรวมกันถึง 15% ต่อคำสั่งซื้อ เมื่อได้ตัวเลขที่ชัดเจนแล้ว จึงกำหนดราคาสินค้าให้ครอบคลุมต้นทุนเหล่านี้โดยไม่เสียศักยภาพในการแข่งขัน
ต่อมา ควรสมัครเป็น Shopee Mall หากแบรนด์มีเอกสารรองรับ เพราะนอกจากความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น แบรนด์ยังสามารถเข้าร่วมโปรโมชันระดับใหญ่ที่มีอัตราการเข้าถึงสูงกว่า แม้จะมีค่าธรรมเนียมมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็คุ้มกับการสร้างยอดขายในวงกว้าง
อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือการบริหารหน้าร้านให้ดูมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นภาพสินค้า คำบรรยาย รีวิวลูกค้า หรือระบบตอบแชท แบรนด์ที่ลงทุนในคุณภาพของการนำเสนอ จะมีโอกาสได้เรตติ้งสูง ซึ่งช่วยให้สินค้าขึ้นหน้าแรกของผลการค้นหา และลดต้นทุนโฆษณาในระยะยาว
และสุดท้าย อย่าพึ่งพา Shopee เพียงอย่างเดียว ควรใช้เป็น “ช่องทางเสริม” เพื่อขยายการเข้าถึงลูกค้า แต่ไม่ละทิ้งการสร้างแพลตฟอร์มของตนเอง เช่น เว็บไซต์แบรนด์, Line OA หรือ ระบบสมาชิก Loyalty CRM ที่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าและสร้างสัมพันธ์ในระยะยาวได้ Shopee ควรเป็นเหมือนหน้าร้านกลางที่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่หัวใจของแบรนด์ควรอยู่ที่ระบบที่คุณควบคุมได้ 100%

สรุป

แม้ Shopee จะเป็นช่องทางการขายที่มีทราฟฟิกสูงและช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว แต่เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้าง ค่าธรรมเนียมในการขายของผ่าน Shopee ทั้งค่าคอมมิชชัน ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และค่าบริการแคมเปญต่าง ๆ แล้ว จะพบว่าต้นทุนเหล่านี้สามารถลดกำไรของแบรนด์ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในระยะยาวที่แบรนด์ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้เต็มที่
ในขณะที่ Shopee ควบคุมทุกอย่างในระบบตั้งแต่ราคาขนส่ง การแสดงผลสินค้า ไปจนถึงการเข้าถึงลูกค้า แบรนด์กลับไม่สามารถเป็นเจ้าของลูกค้าจริง ๆ ได้เลย นี่คือจุดอ่อนที่ทำให้หลายธุรกิจเริ่มหันมาลงทุนในแพลตฟอร์มของตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากการพึ่งพา Marketplace และสร้าง “ฐานลูกค้าประจำ” ที่แบรนด์สามารถดูแล สื่อสาร และกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำได้โดยตรง
Rocket Loyalty CRM จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการครอบครองลูกค้าของตัวเองอย่างแท้จริง แทนที่จะเสียค่าธรรมเนียมให้แพลตฟอร์มอื่น Rocket ช่วยให้คุณสร้างระบบสมาชิก สะสมแต้ม สร้างแคมเปญโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม และเชื่อมต่อกับ Line OA เพื่อสื่อสารกับลูกค้าได้แบบ 1:1 ไม่เพียงเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยลดต้นทุนต่อ Conversion และเพิ่ม Customer Lifetime Value ได้ในระยะยาว
เพราะฉะนั้น หากคุณคือแบรนด์ Corporate ที่กำลังมองหาความยั่งยืนในการขายออนไลน์ การเริ่มต้นด้วยแพลตฟอร์มที่แบรนด์เป็นเจ้าของ 100% ผ่านระบบสมาชิก Loyalty ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะ อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการไล่ตามยอดขายในระบบที่คุณควบคุมไม่ได้ อ่านต่อได้ที่ : https://www.rocket.in.th/membership-crm/


Contact Image

Rocket Loyalty CRM

เพิ่มยอดขายและลูกค้าประจำด้วย Rocket Loyalty CRM บริหารและแบ่งระดับสมาชิก สร้างของรางวัล คูปองและกระตุ้นยอดขาย ประทับใจลูกค้าไม่แพ้บริษัทยักษ์ใหญ่